ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 และเป็นซอฟต์แวร์ที่ได้ทำการยกระดับ (Upgrade) โครงข่ายที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้สามารถใช้งานข้อมูลที่แปรผันตามอัตราความเร็วข้อมูลได้ ดังนั้นเราต้องการอุปกรณ์เคลื่อนที่ ซึ่ง HSPA ถือว่าเป็นทางเลือกหนึ่งโดยส่วนแล้วเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นใหม่และเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาระดับสูงได้ติดตั้งอุปกรณ์เหล่านี้ไว้เป็นมาตรฐานแล้ว
HSPA มีความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่เนื่องจากกลุ่มของเทคโนโลยีระบบ GSM ซึ่งได้ให้กำเนิดการติดต่อสื่อสารเคลื่อนที่ของประชากรโลกที่อยู่ในโลกที่สาม HSPA เป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่สามารถเลือกกรทำงานได้แม้กระทั่งอัตราความเร็วข้อมูลที่มีอัตราความเร็วข้อมูลสูง สำหรับผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ในปัจจุบันนี้สามถใช้งานได้ ซึ่งวิวัฒนาการนี้จะเห็นได้จากตระกูลที่พวกเราคุ้นเคย เช่น เทคโนโลยี GPRS (เป็นเทคโนโลยีแบบแพ็คเก็จตัวแรกที่มีอัตราความเร็วข้อมูล 128 Kbps) เทคโนโลยี EDGE (เป็นเทคโนโลยีที่ได้เพิ่มอัตราความเร็วข้อมูลสูงขึ้นประมาณ 240 Kbps) และจึงเข้าไปสู่เทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 ที่กำลังเพิ่มอัตราความเร็วข้อมูลเป็น 384 Kbps
HSPA เป็นคำทั่ว ๆ ไป เพื่อรวบรวมคำย่อทั้งหมดสำหรับ HSDPA และ HSUPA และ HSPA Evolve (HSPA+) ในปัจจุบันเทคโนโลยีบรอดแบรนด์เคลื่อนที่ (Mobile Broadband Technology) ได้ถูกเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางทั่วโลกด้วยจำนวนอุปกรณ์ที่แสดงมีจำนวนมากมายไม่เพียงแต่จำนวนในเชิงปริมาณ แต่ความหลากหลายของอุปกรณ์ท่แสดงให้เห็น ซึ่งประชาชนมีเส้นทางที่แตกต่างกันในการเข้าถึงข่าวสารข้อมูลที่มีการเคลื่อนที่
โครงข่ายทั้งหลายที่ได้ถูกนำมาใช้งานโดยหลักอยูที่สเปกตรัมย่านความถี่ 1900 MHz และ 2100 MHz กับการดำเนินงานเพียงไม่กี่รายที่ได้ใช้ประโยชน์จากสเปกตรัมย่านความถี่ 850 MHz และศักยภาพในการ Refarming และการจัดสรค์สเปกตรัมย่านความถี่ UHF ซึ่งจำนวนของผู้ให้บริการรายอื่น ๆ จะนำสเปกตรัมย่านความถี่นี้ใช้งานเพื่อช่วยให้ครอบคลุมพื้นที่การให้บริการ (Converage Area) เมื่อ HSPA เริ่มเปิดให้บริการ
HSPA เป็นสิ่งที่เหนือกว่าด้วยการยกระดับซอฟต์แวร์ที่อยู่บน Rel. 99 ของมาตรฐาน UMTS การยกระดับนี้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและลดปัจจัยแฝงของการเชื่อมโยง (Link) และได้รับโดย คือ การใช้ประโยชน์ควบคู่ไปกับจำนวนเทคนิคต่าง ๆ คือ
- Adaptive Modulation and Coding ซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งอยู่ใน NODE B (สถานี Base Station) จะทำการวิเคราะห์ผู้ใช้งานแต่ละคนที่อยู่บนเซลล์ (Cell) ในเรื่องคุณภาพของสัญญาณและกรใช้งานของข้อมูลและความจุของเซลล์ ณ เวลาที่ทำการตรวจสอบที่ใช้รูปแบบการมอดูเลชั่นสัญญาณเพื่อติดต่อกับอุปกรณืแต่ละตัว ดังนั้นคุณภาพของสัญญาณที่ดีและเซลล์รับภาระโหลดน้อย Node B จะกำหนดให้ใช้เทคนิคการมอดูเลชั่นแบบ 16QAM เพื่อเลือกค่าอัตราความเร็วข้อมูลท่มีค่ายอดสูงถึง 3.6 Mbps และลดค่าลงไปสู่การใช้เทคนิคการมอดูเลชั่นแบบ QPSK ที่เกี่ยวเนื่องอัตราความเร็วข้อมูลต่ำ ถ้าเงื่อนไขกลสยเป็นที่ไม่ได้รับความนิยม
- Fast Packet Scheduling ขึ้นอยู่กับตัวอุปกรณ์ที่อยู่ในเซลล์ได้รายงานความแข็งแรงของสัญญาณ โดย Node B สามารถที่จะตรวจสอบว่าอุปกรณ์ตัวใดส่งข้อมูลไปยังรอบเวลา (Time Frame) ในระยะเวลาอีก 2 ms ดังนั้นจะทำให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากที่สุดจากแบรนด์วิธที่ใช้งานได้ ซึ่ง Node B สามารถที่จะทำการตรวจสอบได้ด้วยเหมือนกันว่า มีจำวนข้อมูลมากเท่าใดที่ส่งไปยังอุปกรณ์แต่ละตัวที่อยู่บนพื้นฐานของการเชื่อมต่อ ระบบ HSPA ใช้ 16 Codes ซึ่งจำนวน 15 Codes ถูกใช้งานกับ HSPA ดังนั้น Node B ทำการตรวจสอบว่ามีจำนวน Codes เท่าใดที่กำหนดไปยังอุปกรณ์แต่ละตัวที่อยู่ภายในเซลล์ที่หนดค่า Time Slot ไว้ 2 ms ซึ่งจะทำการตรวจสอบอัตราความข้อมูลทั้งหมดที่ถูกส่งออกไป Node B สมารถกำหนด Time Slot ทั้งหมดและจำนวนทั้งหมด 15 Codes ไปยังอุปกรณ์ตัวเดียวที่อยู่ในเซลล์และถ้าตัวอุปกรณืรายงานผลว่าสถานภาพของสัญญาณดีก็จะได้รับอัตราความเร็วข้อมูลสูงสุด
- Hybrid Automatic Repeat request (HARQ) เทคนิคนี้ถูกนำมาใช้ในการแก้ค่าผิดพลาด (Correct Errors) ในการส่งสัญญาณของแพ็คเก็จระหว่าง Node B และตัวอุปกรณ์ของผู้ใช้งาน (User' s Device) ตัวอุปกรณ์ได้มีการร้องขอการส่งสัญญาณใหม่อีก ในส่วนของแพ็คเก็จใด ๆ ที่เป็นค่าผิดพลาดในขณะที่กำลังเก็บแพ็คเก็จเก่าที่ไม่ถูกต้องไว้ ดังนั้นตัวอุปกรณืเริ่มรวบรวมแพ็คเก็จทั้งหมดเพื่อแก้ค่าผิดพลาด ซึ่งมันจะเก็บค่าแพ็คเก็จทั้งหมดที่ผิดพลาดและใช้งานเพื่อแก้ไขสัญญาณ จะเป็นวิธีการที่มีความเสถียรภาพและมีประสิทธิภาพมากกว่า
- HSDPA (High Speed Data Package Access) มีความสามารถในการรับไฟล์ข้อมูลที่มีขนาดใหญ่บนเคื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเราได้ เช่น ไฟล์ข้อมูลที่แนบมากับจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) การนำเสนองานด้วยโปรแกรม Power Point หรือ Web Page โดยที่โครงข่าย HSDPA มีอัตราความเร็วข้อมูลสูงสุดประมาณ 3 - 6 Mbps สามารดดาวน์โหลดข้อมูลปกติที่เป็นไฟล์ข้อมูลดนตรีที่มีขนาด 3 Mbytes ใช้ระยะเวลาในการดาวน์โหลดไฟล์นี้เพียง 8.3 วินาที และไฟล์ข้อมูลที่เป็นวีดีโอคลิปมีขนาด 5 Mbytes สามารถดาวน์โหลดไฟล์ข้อมูลนี้ใช้เวลาเพียง 13.9 วินาที ซึ่งอัตราความเร็วข้อมูลที่ได้รับจากเทคโนโลยี HSDPA นี้จะมีอัตราความเร็วข้อมูลสูงสุด 14.4 Mbps แต่ผู้ให้บริการโครงข่ายส่วนใหญ่ได้จัดเตรียมอัตราความเร็วข้อมูลอยู่ที่ 3.6 Mbps และในการเปิดให้บริการครั้งแรกจะมีอัตราควมเร้วข้อมูล 7.2 Mbps นั้นมีอัตราการเติบโตเต็มที่รวดเร็วมาก โครงข่าย HSDPA ได้มีการเปิดใช้งานมา 2 ปีแล้ว และได้ถูกจัดวางไว้ในการนำเสนอเป็นบรอด์แบรนด์เคลื่อนที่ (Mobile Broadband) ไปงานทั่วโลก
- HSUPA เป็นการใช้ประฌบชน์เทคนิคเดียวกับ HSDPA เทอมของการปรับตัวของการเชื่อมโยงบนการมอดุเลชั่นที่ถูกนำมาใช้งานและ HARQ ใช้งานเอปรับปรุง Uplink และสร้างการส่งสัญญาณข้อมูลที่พร้อมกันที่มีขนาดความเร็วข้อมูลสูงถึง 5.4 Mbps มีข้อแตกต่างเพียงเล็กน้อยที่อยู่ในเส้นทางการทำงาน เพื่อที่จะให้บริการอุปกรณ์ได้ทั้งหมดในการ Upload และลดวิธีการมอดุเลชั่น
- Scheduling นี่คือกลไกการร้องขอี่เกิดขึ้นคล้าย ๆ กับ Fast Packet Scheduling ข้างบน แต่เริ่มต้นโดยตัวอุปกรณ์ ตัวอุปกรณ์ร้องขอให้มีการอนุญาตในการส่งข้อมูลและ Node B จะทำการตรวจสอบอยู่บนเซลล์ที่กำลังรับภาระโหลดร้องขอและระดับกำลังงานที่อยู่ภายในเซลล์เมื่อใดและอุปกรณ์เท่าใดที่ถูกยอมให้อนุญาตและที่อัตราความเร็วข้อมูลเท่าไร
- Non-Scheduling สำหรับการใช้งานที่แน่นอน เมื่อมีการหน่วงเวลาบนฐานของการ้องขอ Scheduling และอยู่บน Node B ควรจะมีขนาดใหญ่พอ เช่น VoIP มีวิธีการอื่นที่ตัวอุปกรณ์เริ่มต้นส่งสัญญาณ ในกรณีนี้ระดับพลังงานถูกกำหนดโดยตัวอุปกรณ์และมีค่าคงที่ เมื่อมีกิจกรรมี่มีการร้องขอ Schedule ซึ่ง Node B จะตรวจสอบระดับพลังงานของตัวอุปกรณ์ในการส่งสัญญาณและจะถูกควบคุมแบบพลวัต เพื่อให้แน่ใจว่ามีประสิธิภาพสูงสุดสำหรับอุปกรณ์ทั้งหมดทุกตัวที่อยู่บนเซลล์นั้น ๆ
- HSUPA (High Speed Uplink Access) นี่เป้นการขยายเพิ่มออกไปอีกในการเพิ่มอัตราความเร็วข้อมูล โดยท่เราสามารถติดต่อสื่อสารจากตัวอุปกรณ์เคลื่อนที่ของเรา ตัวอย่างเช่น กรณีนี้เราสามารถอัพโหลดวีดีโอ (Upload Video) ไปยัง YouYube ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที ดังนั้นเราสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้อย่างรวดเร็วแบบทันทีทันใด อัตรความเร็วข้อมูลในการอัพโหลดที่ 384 Kbps ด้วยเทคโนโลยี HSUPA ในขณะที่อัตราความเร็วข้อมูลได้เพิ่มสูงสุดประมาณ 5.7 Mbps ในปัจจุบันนี้ HSUPA สามารถใช้บริการได้เพียงไม่กี่ประเทศ และในปีนี้คาดว่าจะเปิดให้บริการอย่างจริงจังทั่วโลก
- HSPA Evolved บางครั้งก็อ้างถึง HSPA+ หรือ I-HSPA (มีความแตกต่างกันเล็กน้อยแต่จำนวนเป้าหมายสุดท้ายเหมือนกันสำหรับู้ใช้งาน) ระบบนี้จะเพิ่มอัตราความเร็วข้อมูลของ Downlink ที่จัดเตรียมไว้ 42 Mbps ด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคนิคการมอดูเลชั่นแบบ 64 QAM และอัตราความเร็วข้อมูล Uplink สูงถึง 11.5 Mbps ด้วยการใช้เทคนิคการมอดูเลชั่นแบบ 16 QAM สำหรับการเพิ่มในอนาคตเพื่อช่วยให้การรับข้อมูลในการเพิ่มอัตราความเร็วข้อมลเป็นการเสริมของสายอากาศ MIMO (Multiple in multiple out) ปกติถูกนำมาใช้งานในการขยายประสิทธิภาพของระบบโดยมีขนาด 4 เท่า
HSPA Evolve หรือที่เรารู้จักเทคโนโลยีนี้ในนามของ HSPA+ นั้น เป็นขั้นตอนต่อไปและได้เป็นที่น่าสนใจอย่างมากในการให้การบริการส่งข้อมูลที่เราสามารถลือกอัตราความเร็วข้อมูลในการส่งข้อมูลให้มีอัตราความเร็วข้อมูลสูงสุดได้ถึง 42 Mbps ในการดาวน์ลิงค์ (Downlink) และมีอัตราความเร็วข้อมุล 11 Mbps สำหรับการอัพลิงค์ (Uplink) ซึ่ง HSPA+ จะนำมาให้บริการได้อย่างเป็นทางการในปลายปี 2008 หรือต้นปี 2009
ขีดความสามารถในการสื่อสารข้อมูลของ HSPA
ในแง่ของการใช้ประโยชน์จากสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G เทคโนโลยี HSPA สามารถทำงานได้กับสถานีฐาน WCDMA เดิม รวมถึง สายอากา (Antenna) และสายนำสัญญาณคลื่นวิทยุ (Antenna Feeder) การพัฒนาเครือข่าย WCDMA ไปเป็น HSPA ทำได้โดยการปรับเปลี่ยนซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งในอุปกรณ์ในกลุ่มเครือข่ายเข้าถึง และอาจมีการเพิ่มอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เพยงเล็กน้อยเพื่อรองรับการสื่อสารข้อมูลด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้นซึ่งถือเป็นการจูงใจในเชิงเศรษฐศาสตร์การลงทุน ที่ผู้ให้บริการเครือข่ายสามารถปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีจาก WCDMA ไปเป็น HSPA ด้วยต้นทุนไม่มากนัก และยังคงใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่เป็นอุปกรณ์เครือข่าย WCDMA เดิมได้ทั้งหมด ในทางกลับกันก็ได้เพิ่มศักยภาพในการให้บริการสื่อสารข้อมูลอัตราเร็วสูง ซึ่ง HSPA ถือเป็นหนึ่งในมาตรฐานการให้บริการในยุค Broadband Wireless Access (BWA) เช่นเดียวกับเทคโนโลยีคู่แข่งอื่น ๆ เช่น WiMAX และ Flash-OFDM
เทคโนโลยี HSPA ในปัจจุบันสามารถตอบสนองการใช้งานของผู้บริโภคได้ในหลายลักษณะตั้งแต่การใช้งานประจำที่ไปจนถึงการใช้งานขณะเดินทางด้วยความเร็วสูง โดยยังคงสามารถรักษาอัตราเร็วในการสื่อสารในระดับ BWA ได้ จึงถือเป็นเทคโนโลยีที่สามารถตอบสนองความต้องการใช้งานได้ในหลายรูปแบบ ในขณะที่เทคโนโลยีในกลุ่ม BWA ชนิดอื่น ๆ เช่น WiMAX ซึ่งแม้จะรองรับการสื่อสารด้วยอัตราเร็วที่สูงกว่า HSPA ในปัจจุบัน แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของพฤติกรรมการนำเครื่องลูกข่ายไปใช้งาน เช่น การใช้ในขณะเดินทางเคลื่อนที่แม้จะด้วยความเร็วท่ไม่มากนัก แต่ก็มีผลทำให้อัตราความเร็วในการสื่อสารลดต่ำลง ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในลักษณะประจำที่มากกว่าประกอบกับเส้นทางในการพัฒนาขีดความสามารถในการสื่อสารข้อมูลของ HSPA ตามที่ได้กล่าวมาในข้างต้น จึงทำให้ HSPAเป็นทางเลือกหลักสำหรับการให้บริการ BWA ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
แนวทางในการเลือกลงทุนเปิดให้บริการเรือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G โดยพิจารณาตามพฤติกรรมการใช้บริการของผู้บริโภค
ในมุมมองของผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถกำหนดยุทธศาสตร์การลงทุนตามพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภค และบริหารต้นทุนในการสร้างเครือข่ายได้อย่างสออดคล้องกับแผนกรเงินด้วยการเลือกสร้างเครือข่าย WCDMA เพื่อรองรับการสื่อสารข้อมูลภายในเขตเมือง ในขณะที่ใช้เครือข่าย GSM/GPRS/EDGE รองรับ การสื่อสารในภูมิภาค ซึ่งส่วนใหย่ยังคงเน้นการพูดคุย (Voice) และการสื่อสารข้อมูลทีมีอัตราเร็วไม่มากนัก เช่น การดาวน์โหลดข้อมูลสำหรับการลงทุน HSPA นั้น ผู้ให้บริการยังสามารถเลือกกำหนดพื้นที่หนาแน่นภายในเขตเมือง (Dense Urban) ที่คาดว่าจะมีปริมาณการบริการข้อมูลแบบ BWA สูงมาก ๆ เมื่อศึกษาการใช้งานของผู้บริโภคไประยะหนึ่งแล้ว ก็อาจทยอยพัฒนาอุปกรณ์สถานีฐาน WCDMA ใหมีการทำงานเป็นแบบ HSPA มากขึ้น หรือยิ่งกว่านั้นก็อาจปรับเปลี่ยนสถานีฐาน 2G ที่ทำงานด้วยเทคโนโลยี EDGE ในพื้นที่ภูมิภาคหรือชานเมืองให้เป็นสถานีฐาน WCDMA/HSPA มากขึ้นตามสภาพธุรกิจในมุมมองของการลงทุน จึงนับว่าเส้นทางการพัฒนาของเทคโนโลยี WCDMA และ HSPA ตอบรับกับการขยายธุรกิจของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทั้งกลุ่มที่มีเครือข่าย GSM เป็นของตนเองอยู่ก่อนแล้ว และทั้งกลุ่มใหม่ที่เริ่มสนใจเข้ามาลงทุนให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยเริ่มจากการสร้างเครือข่าย WCDMA
ขีดความสามารถในการรับส่งข้อมูลของมาตรฐานเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ชนิดต่าง ๆ ในสายตระกูล 3GPP ที่ใช้มาตรฐานการเข้ารหัสสัญญาณแบ CS3 และ CS4 (Coding Scheme 3 และ 4) ซึงเป็นการเข้ารหัสก้อนข้อมูลที่เน้นให้มีส่วนของเนื้อหาข้อมูล (User Payload) มากกว่าส่วนของการรักษาความถูกต้องของข้อมูล (Correction Payload) ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้ด้วยอัตราเร็วที่มากกว่า Coding Scheme แบบต่ำ ๆ เช่น แบบ 1 และ 2 แต่ก็มีความเส่ยงท่ข้อมูลจะได้รับความเสียหายจากสัญญาณรบกวนภายในอากาศขณะมีการรับส่ง จากนั้นจึงเป็นกรแสดงขีดความสามารถของมาตรฐาน EDGE ที่ใช้มาตรฐานการเข้าสัญญาณแบบ MCS9 (Modulation and Coding Scheme 9) ซึ่งก็เป็นรูปแบบการเข้ารหัสที่รองรับการส่งข้อมูลด้วยอัตราเร็วสูงสุดในมาตรฐาน EDGE แต่ก็มีความเสี่ยงต่อการถูกรบกวนสูงสุดเช่นกัน ขีดความสามารถในการรับส่งข้อมูลของมาตรฐาน WCDMA (ภายใต้การเรียกชื่อว่า UMTS) รวมถึงมาตรฐาน HSDPA ทั้งหมดนี้เป็นการวัดประเมินประสิทธิภาพในด้านอัตราเร็วของกรสื่อสารในทิศทางรับ (Downlink) จากสถานีฐานไปสู่เครื่องลูกข่าย โดยมีการทดสอบการรับส่งกับข้อมูลต่างประเภทกัน ได้แก่ รูปภาพขนาดเล็ก ๆ (ภาพขนาด VGA ที่ถ่ายจากกล้องของโทรศัพท์เคลื่อนที่) ภาพที่มีขนาดใหญ่ขึ้น (ถ่ายจากกล้องด้วยความละเอียดตั้งแต่ 1 ล้านพิกเซลขึ้นไป) จนถึงไฟล์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น คลิปวิดีโอ หรือไฟล์ Power Point
ผลที่ได้จากการทดสอบส่งข้อมูลประเภทต่าง ๆ ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่ละชนิด พบว่า ยิ่งข้อมูลมีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่าใด เทคโนโลยีสื่อสารแบบ HSDPA ก็ยิ่งแสดงประสิทธิภาพในแง่ของการประหยัดเวลาในการับส่งข้อมูลในอัตราที่สูงมากขึ้นเมื่อเทียบกับโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นก่อนหน้า แม้กระทั่งเมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ WCDMA ที่มีอัตราเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุด 384 กิโลบิตต่อวินาที ซึ่งในทางปฏิบัติผู้ใช้บริการก็ยากที่จะได้รับช่องสัญญาณอัตราเร็วเท่านี้ เนื่องจากต้องมีการแบ่งแบรนวิดท์ร่วมกับผู้ใช้บริการรายอื่นในขณะที่การทดลองรับส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย HSDPA มีการจำกัดอัตราเร็วของเครือข่ายไว้ที่ 2 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งถือว่เป็นอัตราเร็วเฉลี่ยที่ผู้ใช้บริการจากเทคโนโลยี HSDPA ยิ่งเมื่อเทียบกับงบประมาณในกรลงทุนบนเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นก่อน ๆ ซ่งปัจจุบันมีต้นทุนที่ไม่แตกต่างกันมากนักก็ยิ่งทำให้ผู้บริการเครือข่ายสามารถกำหนดกลยุทธ์ในการขยายขีดความสามารถของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตนจาก GSM/GPRS/EDGE หรือแม้กระทั่ง WCDMA ให้เป็นเทคโนโลยี HSPA (HSDPA+HSUPA) ได้อย่างมั่นใจในความคุ้มทุน
ข้อดีของ HSPA 900 MHz
อยู่ที่เป็นคลื่นที่ส่งสัญญาณไปได้ไกลกว่า 2100 MHz ทำให้ลดต้นทุนในการติดตั้งอุปกรณ์ แต่ข้อด้อยก็มีอยู่บ้าง เช่น การทะลุทะลวงของคลื่นสัญญาณอาจจะทำได้ไม่ดีนัก เมื่อเทียบกับคลื่น 210 MHz เพราะฉะนั้นสรุปได้ว่า คลื่น 900 MHz ใช้งานในบริเวณที่ราบไม่มีสิ่งกีดขวางมากนัก แต่ 2100 MHz ใช้งานได้ดีในย่านชุมชนที่มีสิ่งกีดขวาง เช่น อาคาร เป็นต้น
คุณสมบัติของ HSPA
- Hi Speed Internet ในปัจจุบันมาตรฐานของการรับส่งข้อมูลที่เร้วที่สุด ยังอยู่ที่เทคโนโลยี EDGE ซึ่งให้ควมเร็วประมาณ 160 kbps แต่ HSPA ให้ความเร็วในการโหลดข้อมูลที่ 7.2 Mbps ต่างกัน 4.5 เท่า (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อว่ารองรับความเร็วได้สูงสุดไหร่)
- Video Call ถือว่าเป็นมาตรฐานของเทคโนโลยี 3G ที่มีในโทรศัพท์มือถือ โดยคู่สนทนาจะเห็นหน้าซึ่งกันและกันผ่านกล้องที่อยู่ด้านหน้าโทรศัพท์มือถือ การใช้งานจริงอาจจะมีการดัเลย์บ้างเป็นบางครั้ง แต่โดยรวมถือว่าใช้งานได้ดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น